วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เครื่องแบบโรงเรียนเทพศิรินทร์


พบจากภาพถ่ายของนักเรียนที่หน้าโบสถ์วัดเทพศิรินทร์นั้น นุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อชั้นนอกสีขาวคอปิด มีกระดุม ๕ เม็ด (เสื้อราชปะเตน) สวมหมวกฟางหรือหมวกสักหลาด รองเท้า และ ถุงเท้ายาวสีขาวหรือสีดำ







เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน เปลี่ยนเป็นกางเกงชูตติ้ง (Shooting) สีเทา ขารัดเพียงใต้เข้า สวมเสื้อชั้นนอก สีขาวคอปิด มีกระดุม ๕ เม็ด (เสื้อราชปะเตน) รองเท้า และ ถุงเท้ายาวสีขาวหรือสีดำ เหมือนเดิม แต่ใช้หมวกฟางติดอักษรย่อ ท.ศ.







เปลี่ยนจากกางเกงชูตติ้ง(Shooting)เป็นกางเกงแบบลูกเสือ คือกางเกงแบบไทยขาสั้นสีดำ สวมเสื้อชั้นนอก สีขาวคอปิด มีกระดุม ๕ เม็ด (เสื้อราชปะเตน) รองเท้า และ ถุงเท้ายาวสีขาวหรือสีดำ เหมือนเดิม และในปี พ.ศ.๒๔๗๗ กระทรวง ศึกษาธิการอนุญาตให้ใช้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวมีกระเป๋าที่อกทั้งสองข้างและมีฝาปิดกระเป๋าติดกระดุมสำหรับใช้แต่งกาย ในฤดูร้อนแทนการสวมเสื้อชั้นนอก มีกระดุม ๕ เม็ดด้วย และยังใช้หมวกฟางติดอักษรย่อ ท.ศ. เหมือนเดิม







โรงเรียนเทพศิรินทร์นั้นถือได้ว่าเป็นโรงเรียนแรก ที่ให้นักเรียนใช้เครื่องแบบนักเรียนแบบยุวชนทหาร เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๙ คือกางเกงขาสั้น และเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีกากีแกมเขียว มีกระเป๋าที่หน้าอกทั้งสองข้าง ปักอักษรย่อ ท.ศ. และ เลขประจำตัวที่เหนือกระเป๋าเสื้อข้างซ้ายสวมหมวกแก้ปทรงหม้อตาล รองเท้าและถุงเท้า ยาวสีดำ ตอนปลายสงครามมหาเอเชีบบูรพาเกิดความขาดแคลนอย่างหนัก ทางการจึงผ่อนผันให้แต่งตัวเท่าที่จะทำได้







กระทรวงศึกษาธิการได้สั่งเปลี่ยนเครื่องแบบมาใช้เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระเป๋าที่หน้าอกซ้ายกระเป๋าเดียวปักอักษรย่อ นามโรงเรียน ท.ศ. เหนือกระเป๋าเสื้อ และเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงขาสั้นสีกากี สวมถุงเท้าและรองเท้าสีน้ำตาล ส่วนเครื่องแบบลูกเสือนั้น ก็เปลี่ยนใช้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสีกากี ใช้หมวกหนีบหรือหมวกปีกกว้างก็ได้

ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ อักษรย่อนามโรงเรียน ท.ศ. เปลี่ยนมาปักที่อกเสื้อเบื้องขวา
และต่อมานอกจากจะปักนามโรงเรียนย่อ ท.ศ. และ เลขประจำตัวใต้นามโรงเรียนย่อนั้นแล้ว ที่ขอบกระเป๋า เสื้อยังมีการปักดาวสีน้ำเงินสำหรับนักเรียน ม.๑-๒-๓ ก็ปักดาว ๑-๒-๓ ดวงตามลำดับ และสำหรับนักเรียน ม.๔-๕-๖ ก็ปักอักษรเลขโรมัน I-II-II ตามลำดับเช่นกัน
มีการประดับเข็มดวงตราประจำโรงเรียนเหนือนามโรงเรียนย่อ ท.ศ. ในระดับชั้นมัธยมปลาย 
แต่งกายโดยรวมเป็นแบบเดิม แต่เปลี่ยนจาก การปักดาว และ เลขโรมัน คือ




ในระดับมัธยมต้นจะทำการปักดาวแต่ละสีแยกกันไป ตามระดับหมุนเวียนกันไป โดยดาวนั้นจะมีวงกลมเป็นสี ๖สี ตามแต่ว่าจะขั้นอยู่กับขณะสีใด ล้อมรอบดาวไว้ โดยสีของดางนั้นจะมี ๓สี แบ่ง ๓ระดับคือ สีเขียว สีน้ำเงิน และสีเหลือง




ในระดับมัธยมปลายจะทำการปักดอกรำเพยแต่ละสีแยกกันไปตามระดับหมุนเวียนกันไป โดยดอกรำเพยนั้นจะมีวงกลมเป็นสี ๖สี ตามแต่ว่าจะขั้นอยู่กับขณะสีใด ล้อมรอบดาวไว้ โดยสีของดอกรำเพยนั้นจะมี ๓สี แบ่ง ๓ระดับคือ สีเขียว สีน้ำเงิน และสีเหลือง







แต่งกายโดยรวมเป็นแบบเดิม แต่เปลี่ยนจาก การปักดาว และ ดอกรำเพย คือ
ในระดับมัธยมต้นจะทำการปักดาวสีน้ำเงินสำหรับนักเรียน ม.๑-๒-๓ ก็ปักดาว ๑-๒-๓ ดวงตามลำดับโดยดาวนั้นจะมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบดาวนั้นไว้




สำหรับนักเรียน ม.๔-๕-๖ ก็ปักอักษรเลขโรมัน I-II-II ตามลำดับเช่นกัน โดยจะใช้สีน้ำเงินสีเดียว และล้อมรอบเลขโรมันนั้นไว้ด้วยกรอบรูปวงกลม

เอกลักษณ์โรงเรียนเทพศิรินทร์


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระผู้ทรงพระราชทานนาม "โรงเรียนเทพศิรินทร์" สมด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ ๕ ศูนย์รวมจิตใจของนักเรียนเทพศิรินทร์ เรียกนามตนเองว่า “ลูกแม่รำเพย” พุทธศักราช ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จทรงศึกษา ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์
เลขประจำพระองค์ ๒๓๒๙
----------------------------------------------------------------------------------------------------------











 
---------------------------------------------------
ตราประจำโรงเรียน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประสาทพุทธภาษิต
“น สิยา โลกวฑฺฒโน”   ไม่เป็นคนรกโลก ให้แก่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช  ๒๔๖๖ ดอกรำเพย ดอกไม้ประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------

ตึกโชฎึกเลาหะเศรษฐี อาคารหลังที่สองของโรงเรียนเทพศิรินทร์ เอกลักษณ์และคุณค่าทางสถาปัตยกรรม และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โรงเรียน เข็มตราโรงเรียนเทพศิรินทร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทุกคน จะติดเข็มที่หน้าอกด้านขวา เหนืออักษร ท.ศ. สีธงประจำโรงเรียน เป็นแถบสีเขียว – เหลือง เป็นสีของใบและดอกรำเพย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------

ตึกแม้นนฤมิตร
อาคารหลังแรกของโรงเรียนเทพศิรินทร์
เอกลักษณ์และคุณค่าทางสถาปัตยกรรม

ประวัติโรงเรียนเทพศิรินทร์

โรงเรียนเทพศิรินทร์ (ชื่อภาษาอังกฤษ: Debsirin School) เป็นโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ อยู่รวมกับวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 1466 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร

โรงเรียนเทพศิรินทร์เป็นโรงเรียนชายล้วนซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2428 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปัจจุบันนี้โรงเรียนเทพศิรินทร์เป็นโรงเรียนรัฐบาลที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศ เป็นโรงเรียนชายล้วนที่เก่าแก่อันดับ 5 ของประเทศ และได้เป็นหนี่งในโรงเรียนเครือจตุรมิตรซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เรียงตามลำดับที่ปรากฏในเพลงจตุรมิตรสามัคคี ซึ่งเป็นโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครด้วยกันได้มีการแข่งขันฟุตบอลประเพณีและ การแปรอักษรร่วมกันทุกๆ2ปี
ประวัติโรงเรียน[แก้]
ในปี พ.ศ. 2419 องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบเบญจเพส จึงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระอารามเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสนองพระเดชคุณแด่องค์พระราชชนนี คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น

โรงเรียน เทพศิรินทร์ ได้รับการสถาปนาจาก องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ด้วยพระราชปรารภที่จะทำนุบำรุงการศึกษาเล่าเรียนให้เจริญแพร่หลายขึ้นโดยรวด เร็วจึงมีพระบรมราชโองการให้จัดการศึกษาสำหรับราษฎรขึ้น โดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ได้จัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายใน วัดเทพศิรินทราวาส โดย ในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำ การเรียนการสอน ครั้นถึง พ.ศ. 2438 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกและมีที่เดียวในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกอาคารเรียนหลังที่สองขึ้นที่ด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย

ปี พ.ศ. 2445 ตึกเรียนหลังแรกของโรงเรียนได้สร้างเสร็จและได้ทำพิธีเปิดการเรียนการสอนใน วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2445 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามตึกเรียนหลังนี้ว่า ตึกแม้นนฤมิตร และ ได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า "เทพศิรินทร์" อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้ย้ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มายังตึกแม้นนฤมิตรอีกด้วย เพื่อรอการก่อสร้างตึกอาคารเรียนที่โรงเรียนนั้น

ตึกเรียนหลังที่สามของโรงเรียนเทพศิรินทร์นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2453 องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานทรัพย์ซึ่งเป็นมรดกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมล กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ให้กระทรวงศึกษาธิการทำการจัดสร้างตึกขึ้นด้านตรงกันข้ามของตึกแม้นนฤมิตร โดยตึกเรียนหลังนี้ยังคงศิลปะโกธิค ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงเรียนเทพศิรินทร์ อาคารเรียนหลังนี้สร้างเสร็จในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า เยาวมาลย์อุทิศ สำหรับเครื่องครุภัณฑ์ต่างๆในอาคารนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเป็นผู้ติดต่อให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญาและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตตินารี ได้ทรงร่วมกันบริจาค

ปี พ.ศ. 2474 โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้เปิดใช้อาคารเรียนอีกหลังหนึ่งคือ ตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา ตึกนี้เกิดขึ้นจากที่พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ได้ทรงให้สร้างขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศพระกุศลถวาย แด่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระมารดาของ พระองค์ ตึกเรียนอยู่ติดกันกับตึกเยาวมาลย์อุทิศ โดยตึกหลังนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งศิลปะโกธิค

ใน ปี พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงเข้ารับการศึกษา หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี พระองค์เจ้าอานันทมหิดลก็ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงมีความผูกพันกับ โรงเรียนเทพศิรินทร์มาโดยตลอด มีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมาคมนักเรียนเก่าฯ ตลอดจนมวลหมู่ลูกแม่รำเพยทุกคน

สงครามโลกครั้งที่สองได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดลงมาในพระนคร กระทรวงศึกษาธิการจึงสั่งปิดโรงเรียนทั่วพระนคร ด้วยเหตุที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟกรุงเทพนั้น เป็นเหตุให้โรงเรียนไม่สามารถหนีจากหายนะของสงครามนี้ได้ โดยเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ตึกแม้นนฤมิตร์ และ ตึกโชฎึกเลาหเศรษฐี ตึกเรียนสองหลังแรกของโรงเรียนได้รับภัยทางอากาศจากการทิ้งระเบิดทำให้ไม่ สามารถใช้ทำการเรียนการสอนได้อีกตลอดทั้งอาคารเรียนอีกหลายๆหลังก็ได้รับ ความเสียหายพอสมควร จากการที่แหล่งรวมจิตใจของชาวเทพศิรินทร์ได้ถูกภัยสงคราม ทางกระทรวงศึกษาธิการ วัดเทพศิรินทราวาส ตลอดถึงสมาคมนักเรียนเก่าฯ ได้ร่วมกันสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาทดแทนโดยคงศิลปะโกธิคอยู่เช่นเดิม อาคารหลังใหม่นี้ได้รับการขนานนามว่า ตึกแม้นศึกษาสถาน

โรงเรียน เทพศิรินทร์ ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการขยายห้องเรียนขึ้น จนในปี พ.ศ. 2513 ทางโรงเรียนได้ร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าฯ ขออนุญาตทางวัดเทพศิรินทราวาส ใช้อาคารของทางวัดหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่ทำการเรียนการสอนอาคารนั้นมีชื่อว่า ตึกนิภานภดล โดยอาคารนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตตินารี ได้สร้างขึ้นถวายแก่วัดเทพศิรินทราวาสในปี พ.ศ. 2467 เพื่อเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม สำหรับพระภิกษุสามเณร

แต่ ด้วยการพัฒนาโรงเรียนไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้จำนวนห้องเรียนไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องมีการสร้างตึกเรียนขึ้นมาใหม่ ทำให้ทางโรงเรียนต้องมีการรื้อถอนตึกเรียนเดิม 2 หลังคือ ตึกเยาวมาลย์อุทิศ และ ตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา สำหรับตึกใหม่ที่สร้างขึ้นทดแทนเป็นอาคารเรียน 6 ชั้น และได้ใช้ชื่อว่า ตึกเยาวมาลย์อุทิศปิยราชบพิตรปดิวรัดา ตามตึกเรียนสองหลังเดิม ซึ่งในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเสด็จพระดำเนินมาในการวางศิลาฤกษ์ด้วย

โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้เติบโตขึ้นเป็นลำดับจำนวนนักเรียนมากขึ้นทุกปี จึงได้มีการสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมอีกคือ อาคารภาณุรังษี, อาคารรัชมังคลาภิเษก 2531 และ อาคารเทิดพระเกียรติ

ตราประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์[แก้]
ภาพอาทิตย์อุทัยทอแสงบนพื้นน้ำทะเล หมายถึง “ภาณุรังษี” และ “วังบูรพาภิรมย์” โดย “ภาณุรังษี” นี้เป็นพระนามของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงประทานตรานี้ให้แก่โรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2467 พระองค์มีพระคุณอเนกอนันต์แก่โรงเรียน อาทิทรงเป็นผู้ทูลขอให้ทรงสถาปนาโรงเรียนต่อองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2438 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนาโรงเรียนแบบถาวรและทรงถือว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในดูแลของพระองค์ด้วย

อักษรประดิษฐ์ “ม” หมายถึง “หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา” ชายาอันเป็นที่รักของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงหม่อมแม้น ว่าถ้าไม่มีหม่อนแม้น การกำเนิด ตึกแม้นนฤมิตร ก็คงไม่มี ดังนั้นโรงเรียนเทพศิรินทร์ก็คงไม่มี จึงเป็นความหมายที่ควรระลึกไว้

ช่อดอกรำเพย หมายถึง พระนามแห่งองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า “หม่อมเจ้าหญิงรำเพย ศิริวงศ์” พระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงสร้างพระอารามและโรงเรียนเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระ บรมราชชนนี ทำเครื่องหมายดอกรำเพยไว้เพื่อให้คนรุ่นหลัง รู้ไว้ว่าพระนามเทพศิรินทร์นี้ได้มาจากพระองค์ท่าน เป็นพระนามมหามงคลยิ่งควรรักษาไว้ให้ดี

สีประจำโรงเรียน คือ “สีเขียวและสีเหลือง” เป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ตามตำราพิชัยสงคราม (สวัสดิรักษา) ซึ่งวันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันประสูติของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4 อีกทั้งยังเป็นสีของใบและดอกของต้นรำเพย ซึ่งเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือ “พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์”

ดอกรำเพย จึงถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุทธสุภาษิตประจำโรงเรียน “น สิยา โลกวฑฺฒโน” ความหมายคือ “ไม่ควรเป็นคนรกโลก” เป็นพุทธสุภาษิตซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสองค์ ที่ 5 ได้ประสาทให้แก่โรงเรียน และท่านอธิบายความหมายของพุทธสุภาษิตบทนี้ว่า “คนเราบางคน เกิดมารกโลก ทำนองเดียวกับติณชาติที่หาประโยชน์อะไรมิได้ ทำให้เสียเงินทองกำจัด และรกชัฏขวากหนาม บางอย่างเป็นศัตรูแก่โลกไม่เป็นประโยชน์ มนุษย์ที่ไม่มีเมตตากรุณา คอยแต่จะเบียดเบียยนผู้อื่น จัดว่าเป็นคนรกโลก อย่าเกิดมาเลยเสียดีกว่า สู้สัตว์บางชนิดก็ไม่ได้”

เพลงประจำโรงเรียน[แก้]
บทร้องอโหกุมาร เป็นเพลงประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์ เพลงนี้เป็นพระนิพนธ์ของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในกวีชั้นยอดแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระยาจรัลชวนะเพท อาจารย์ใหญ่โรงเรียนเทพศิรินทร์ในสมัยนั้น เห็นว่าทางโรงเรียนมีงานรื่นเริงประจำปีเสมอ จึงควรจะมีบทเพลงประจำสักหนึ่งบท จึงทูลขอให้ทรงนิพนธ์ พระองค์ได้ทรงนิพนธ์แล้วเสร็จและประทานแก่โรงเรียนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2474 จากนั้น วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ทางโรงเรียนได้มีหนังสือแจ้งขออนุญาตไปยังกระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อขอใช้บทพระนิพนธ์นี้เป็นบทร้องประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์ ต่อจากนั้นพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงโปรดให้ หลวงประสานบรรณวิทย์เป็นผู้ฝึกร้องตามทำนองฝรั่ง จนร้องถูกต้องดีเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2475 ดังนั้นจึงนับเอาวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2475 เป็นวันที่บทร้องอโหกุมารถูกร้องเป็นวันแรก[ต้องการอ้างอิง]

บทร้องอโหกุมารทรงนิพนธ์ด้วยสยามวิเชียรฉันท์ 8 ซึ่งมีความไพเราะมีจังหวะเสียงขึ้นลงสลับกันไปมา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่แปลก โดยบทสยามวิเชียรฉันท์ 8 นี้ พูดได้ว่ามีเพลงอโหกุมารเพียงเพลงเดียว[ต้องการอ้างอิง] และเป็นเรื่องแปลกในการใช้ฉันท์มาใส่ทำนองร้องเป็นเพลงได้[ต้องการอ้างอิง] ชาวเทพศิรินทร์ทุกคนถือว่าบทร้องอโหกุมารมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดที่ได้ยินจะยืนตรงแสดงความเคารพและร้องด้วยความภูมิใจในเกียรติยศและศักดิ์ศรี และภูมิใจเสมอว่าเพลงนี้ได้ชื่อว่าเป็นเพลงประจำสถาบันที่มีความไพเราะที่สุด[ต้องการอ้างอิง]


พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ผู้แต่งบทประพันธ์ "อโหกุมาร" ให้กับโรงเรียนเทพศิรินทร์

บทร้องประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์


อโหกุมารสถานสิขา

ณ เทพศิรินทร์ระบิลระบือ

สำเนียงจำโนษอุโฆษก็คือ

ดรุณสยามมิคร้ามวิชาฯ

สมัญญะเลิศจะเกิดไฉน

จะเกิด ณ เมื่ออะเคื้อสิขา

จะเกิด ณ คราวอะคร้าววิชา

วิปักษะขามสยามวิชัยฯ

วิถีสำรวย บ่ งวย บ่ งง

วิถีสำเริง บ่ เหลิงหทัย

วิถีสำราญ บ่ ซานจะไป

วิถีอบาย บ่ หมายจำนงฯ

วิชาวิบุลย์ดรุณจะเรียน

ประเกียรติ์จะเกิดประเสริฐประสงค์

ประเทศจะงามสยามจะยง

จะสุดวิเศษก็เหตุเพราะเพียรฯ

อโหดรุณจะครุ่นสิขา

อโหกุมารจะอ่านจะเขียน

วิชาจะเทียบจะเปรียบวิเชียร

วิเชียรก็ชู บ่สู้วิชาฯ

วิชา ฤ แล้ง ณ แหล่งสยาม

หทัยะทัยจะไตรจะตรา

หทัยะทัยจะใฝ่วิชา

วิชา ฤ แล้ง ณ แหล่งสยาม

ณ เทพศิรินทร์ ณ เทพศิรินทร์

สถานสิขาสง่าพระนาม

สำนักกิฬาสง่าสนาม

ณ เทพศิรินทร์ ณ เทพศิรินทร์

ชโย ชโย ชโย